เมื่อลมหนาวมาเยือน หลายคนก็แฮปปี้ดี๊ด๊า ไม่ต้องทนแดด ทนฝนอีกต่อไป แถมยังเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมแก่การท่องเที่ยวเป็นที่สุด แต่อย่าลืมว่า อากาศหนาวก็สามารถทำให้เราป่วยได้เช่นกันนะ นอกจากนี้ อุณหภูมิที่เย็นลง ยังเอื้อให้เชื้อไวรัสอยู่รอด และแพร่กระจายได้เป็นอย่างดีอีกด้วย โดย โรคหน้าหนาว ที่ทุกคนควรระวังจะมีอะไรบ้างนั้น มาติดตามไปกับ GedGoodLife กันเลย 8 โรคหน้าหนาว ที่ควรระวัง! 1.
โรคหัดเยอรมัน ผู้ป่วยมักมีไข้ต่ำๆ ปวดเมื่อยตามตัว หลังจากนั้น จะมีผื่นขึ้นที่หน้า คอ ลำตัว แขนและขา ผื่นมักขึ้นเต็มตัวภายในระยะเวลา 1 วัน และมีต่อมน้ำเหลืองโต ผื่นมักจะหายไปเองภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 วัน โรคหัดเยอรมันเป็นโรคที่ติดต่อกันทางระบบทางเดินหายใจ ดังนั้นในเด็กทุกคนควรฉีดวัคซีนป้องกันหัดเยอรมันตามเกณฑ์เพื่อป้องกันการเกิดโรค ที่สำคัญคือถ้าสตรีเป็นขณะตั้งครรภ์จะทำให้ทารกพิการได้ นอกจากโรคที่เกี่ยวข้องกับเชื้อไวรัสแล้ว โรคผิวหนังอักเสบที่อาจจะกำเริบช่วงหน้าหนาว ได้แก่ 6. โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis) เป็นโรคที่พบได้ทุกฤดู แต่ในช่วงฤดูหนาวผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง จะมีโอกาสเกิดมากขึ้น ทำให้ผู้ป่วยมีอาการคันผิวหนังรุนแรงมากขึ้น ผู้ป่วยมักจะเกา ซึ่งการเกาอาจจะทำให้เกิดแผลติดเชื้อตามมา ดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง มักจะมีลักษณะผื่นเป็นผื่นแดง แห้งลอก มีอาการคันมาก มักเป็นที่บริเวณข้อพับแขน ข้อพับขา ใบหน้า แขน ขา และซอกคอ 7.
แพ้เหงื่อ คือ อาการแพ้ที่ทำให้เกิดผื่นบริเวณผิวหนังซึ่งหลายคนเชื่อว่าเกิดจากเหงื่อออก แท้จริงแล้วมีสาเหตุมาจากอะไร และมีวิธีรักษาอย่างไร รวมทั้งวิธีการป้องกันที่ผู้ป่วยควรทราบเพื่อไม่ให้อาการรุนแรงจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน แพ้ เหงื่อ คือ ลมพิษ ชนิดหนึ่งที่เกิดจากความร้อน โดยความร้อนจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของต่อมเหงื่อ ทำให้เหงื่อถูกหลั่งออกมาร่วมกับการเกิดผื่น หรือผู้ป่วยบางคนอาจเกิดอาการแพ้เหงื่อจากการที่ร่างกายสร้างแอนตีบอดีหรือภูมิต้านทานอย่าง สารอิมมิวโนโกลบูลิน (Immunoglobulin-G: IgG) ต่อเหงื่อของตัวเองจึงทำให้เกิดเป็นผื่นลมพิษขึ้นมานั่นเอง อาการแพ้เหงื่อเป็นอย่างไร?
เตือนภัยหน้าหนาว!! ระวังเป็นผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง โรคทางผิวหนังที่มักจะเกิดในฤดูหนาว เพราะอากาศแห้งจะทำให้ผิวเราแห้งตามไปด้วย ซึ่งก็ก่อให้เกิดอาการคัน ช่วงนี้ก็อยู่ในช่วงหน้าหนาวกันแล้ว ถึงอากาศจะไม่ค่อยหนาวเสียเท่าไหร่ในบางพื้นที่ แต่จังหวัดทางภาคเหนือ และอีสานก็เริ่มสัมสัมผัสกับอากาศหนาวกันแล้ว ซึ่งอากาศหนาวอาจจะทำให้เรารู้สึกดีกว่าแดดร้อนๆ ที่แผดเผา แต่อากาศหนาวก็ส่งผลเสียต่อผิวหนังของเราไม่แพ้กับเวลาที่เราตากแดดแรงๆเลย เตือนภัยหน้าหนาว!!
แพทย์จะประเมินผู้ป่วยตามอาการที่เกิดขึ้น หากมีไข้ จะสั่งยาลดไข้ ห้ามใช้ยาแอสไพรินเด็ดขาด 2. ทำความสะอาดร่างกาย ให้ยาแก้คัน และในผู้ป่วยบางราย อาจมีการให้ยายับยั้งการเจริญของเชื้อไวรัสร่วมด้วย 3. ห้ามไม่ใช้ข้าวของปนกันผู้อื่น 4. พักผ่อนให้เพียงพอและดื่มน้ำมากๆ 5. ควรแยกผู้ป่วยออกจากคนที่ไม่เคยเป็นโรค จนกว่าตุ่มน้ำสุดท้ายจะแห้งตกสะเก็ด คือ พ้นระยะติดต่อแล้ว 2. โรคงูสวัด เกิดจากเชื้อไวรัส ชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดสุกใส (Varicella virus) เมื่อติดเชื้อครั้งแรกจะทำให้เป็นโรคสุกใส และเมื่อหายแล้ว เชื่อจะยังอยู่ในร่างกายตลอดไป หลบอยู่ตามปมประสาท รอเวลาร่างกายอ่อนแอ ไวรัสที่แฝงอยู่จะกลับมาอีกครั้งในรูปแบบของโรคงูสวัด อาการของโรค มักจะมีปวดเมื่อยเนื้อตัว อาจมีไข้หรือไม่มีไข้ ปวดแปล๊บหรือปวดแสบ หรือปวดแสบร้อนในบริเวณที่เป็น จากนั้นจะเริ่มมีตุ่มน้ำใสๆ เป็นกระจุกปนปื้นแดง พบได้บ่อยบริเวณลำตัว แต่ก็สามารถเป็นได้ในบริเวณอื่นๆ การรักษา 1. แพทย์จะให้ยาต้านไวรัสชนิดรับประทาน หลังเกิดอาการเพื่อลดความรุนแรง หรือให้ยาต้านไวรัสชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดดำ และจะต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลในกรณีที่เป็นรุนแรง 2. หากงูสวัดขึ้นตา จะต้องไปพบจักษุแพทย์ เพื่อให้ยาต้านไวรัสชนิดทานและหยดตา เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนทางตา 3.
โรคเริม เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่ม HERPES (Hsv–1/Hsv-2) เริมจะมีลักษณะเป็นกลุ่มของตุ่มน้ำขนาดเล็กๆ พบได้บ่อยที่บริเวณเนื้ออ่อนๆ เช่น ริมฝีปาก, อวัยวะเพศ และก้น ผู้ป่วยมักมีประวัติเป็นซ้ำๆ บริเวณเดิมๆ อาการเมื่อติดเชื้อ ผู้ป่วยจะมีไข้ ปวดเมื่อย ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ หากเคยเป็นมาแล้วสามารถเป็น หากเกิดภาวะเครียดและพักผ่อนไม่เพียงพอ หากเคยเป็นมาบ่อยๆ ผู้ป่วยอาจมีอาการเพียงเจ็บๆ คันๆ เท่านั้น และมักมีประวัติเครียด พักผ่อนไม่พอ ร่างกายอ่อนแอก่อนที่ตุ่มน้ำจะขึ้น 1. ถ้าอาการรุนแรง แพทย์จะให้ยาทา และรับประทานยาอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) เพื่อต้านการแบ่งตัวของเชื้อไวรัส 2. หากมีภาวะแทรกซ้อน หรือการติดเชื้อแพร่กระจาย ผู้ป่วยต้องรักษาในโรงพยาบาลเพื่อให้ยาเข้าหลอดเลือดดำและสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ผู้ป่วย ที่มีภูมิคุ้มกันไม่ดี เช่น ผู้ป่วย มะเร็ง ผู้สูงอายุ 3. การใช้ยารับประทาน จะช่วยทำให้ผื่นหายเร็วขึ้น 4. โรคหัด มักเกิดขึ้นในเด็กเล็ก ช่วงอายุประมาณ 1 ปี ถึงช่วงวัยประถมศึกษา โรคหัดมักติดต่อกันทางระบบทางเดินหายใจ อาการ จะมีไข้สูง ไอมาก ตาแดง คล้ายเป็นหวัด ต่อมาจะมีผื่นแดงขนาดเล็กๆ ขึ้นตาม แขน 1.
คือตอนอากาศหนาวๆมา2 3 วันนี้ จู่ๆเราก็มีตุ่มคันคล้ายๆยุงกัดอ่ะค่ะ ตอนแรกขึ้นแถวหน้าอกหัก คันมาก เราก็เกาๆ ซักพักก่อนเข้านอน ขึ้นมาเพียบเลยค่ะ ข้อเท้า ต้นแขน หน้าอก หลัง เอว เต็มมมค่ะ คันมากกกกกกก ตอนนอนๆนี่ชอบเผลอไปเกาค่ะ แล้วมันก็จะถลอก แผลเปิดเลย ยายเราก็เป็นค่ะ ยายเลยบอกว่าเป็นภูมิแพ้ แพ้อากาศ ลักษณะแบบนี้เลยค่ะ รูปจาก google นะคะ ใครเคยเป็นบ้างคะ รักษายังไงดีคะ? ทานยาหรือทายาอะไรดีคะ? แสดงความคิดเห็น