ผลคือ 1. เมื่อพนักงานไปฟ้องศาลแรงงาน บริษัทก็จะแพ้คดีและต้องจ่ายค่าชดเชย พร้อมดอกเบี้ยตามที่ศาลสั่ง 2. หากบริษัทไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนและมีน้ำหนักเพียงพอว่าพนักงานผลงานไม่ดีแค่ไหนยังไงก็อาจถือว่าเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม อาจถูกศาลสั่งให้รับพนักงานกลับเข้าทำงานหรือชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยให้กับพนักงาน 3. บริษัทเสียชื่อเสียงและมีผลต่อความคิดเห็นและความรู้สึกด้านลบของพนักงานอื่นที่ยังทำงานอยู่ในบริษัทว่าบริษัทมีการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมกับพนักงาน จึงสรุปตรงนี้ว่า 1. บริษัทควรจะต้องมีระบบการประเมินผลการปฏิบัติงานที่ชัดเจน มีหลักฐานที่อ้างอิงได้ว่าพนักงานที่ทำงานไม่ดีมีปัญหานั้น ทำงานไม่ดียังไง มีปัญหามากน้อยแค่ไหนกับบริษัท จนถึงขั้นจะต้องเลิกจ้าง 2. บริษัทควรมีการทำหนังสือตักเตือนพนักงานเรื่องผลการปฏิบัติงานที่มีปัญหา ให้โอกาสพนักงานปรับปรุงแก้ไขและติดตามผลงานอย่างใกล้ชิด 3. หลังจากทำตามข้อ 1 และ 2 แล้ว ถ้าบริษัทยังยืนยันว่าจำเป็นจะต้องเลิกจ้างกันจริง ๆ ก็ต้องจ่ายค่าชดเชย, ค่าบอกกล่าวล่วงหน้าให้ถูกต้องตามกฎหมายครับ จะโมเมไม่จ่ายเหมือนที่ผมบอกไปข้างต้นไม่ได้นะครับ และต้องแน่ใจว่าไม่ใช่การกลั่นแกล้งรังแกกัน 4.
ทำการบ้านล่วงหน้า หาข้อมูลพนักงานท่านที่กำลังจะคุย ข้อมูลบนหน้ากระดาษ ผลงาน ประวัติครอบครัว ประวัติการรักษาพยาบาล ข้อมูลที่ไม่อยู่บนหน้ากระดาษ เช่น ความสัมพันธ์ต่างๆกับคนในองค์กร สาเหตุการเลิกจ้าง. 2. ฟังอย่างตั้งใจ พูดเล่าสาเหตุให้สั้น กระชับ ควรพูดน้อยกว่าเขาในช่วง 10 นาทีแรก. 3. ทำความเข้าใจ และค้นพบให้เจอว่าอะไรเป็นสิ่งที่เขากังวล หรือห่วงที่สุด ลองตรวจสอบแง่มุม ผลกระทบต่อครอบครัว ภาระทางการเงิน การงาน ความก้าวหน้าในงาน สุขภาพ สภาพจิตใจ. 4. ชี้แจงสิทธิต่างๆ โดยเน้นการต่อยอดและขยายความในสิ่งที่เขากังวล สิทธิต่างๆที่เขาได้รับ กองทุนประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (คงไว้/ถอนออก/การโอนไปที่ใหม่) เงินชดเชยการเลิกจ้าง/สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า การเสนอความช่วยเหลือในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ช่วย Review CV รวมไปถึงการให้เทคนิคในการสัมภาษณ์งาน Refer ต่อไปยังบริษัทอื่น ในเครือข่ายของ HR. 5. ชี้แจงขั้นตอน และสิทธิต่างๆ เพิ่มเติม โดยเน้นการต่อยอดและขยายความในสิ่งที่เขากังวล. 6. ให้กำลังใจ และชี้มุมมองการเดินต่อไปข้างหน้า 3.
2 กลุ่มได้รับผลกระทบในงานมาก แต่ไม่ได้มีความใกล้ชิดกับผู้ที่จะถูกปลดออก ยกตัวอย่างเช่น หน่วยงานต่างแผนกที่ต้องทำงานร่วมกับคนที่ถูกปลดออก หรือแม้กระทั่งลูกค้า หรือคู่ค้าที่พนักงานดังกล่าวได้ประสานงานอยู่ คนกลุ่มนี้จำเป็นที่จะต้องได้รับการสื่อสาร และ HR ในฐานะ Business partner ควรช่วยในการตรวจสอบ Workflow การทำงาน และ Contact point ใหม่ เพื่อให้งานเป็นไปได้อย่างราบรื่น และไม่ก่อให้เกิดภาระที่มากขึ้นมากเกินไปกับคนกลุ่มนี้ 1. 3 กลุ่มไม่ได้รับผลกระทบต่องานมาก แต่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้ที่จะถูกปลดออก ยกตัวอย่างเช่น เพื่อนร่วมงานต่างแผนกที่สนิทสนม เป็นต้น คนกลุ่มนี้ต้องได้รับการสื่อสารข้อมูลที่ชัดเจน และเที่ยงตรง เพื่อป้องกันการเกิดข่าวลือในองค์กรที่จะนำไปสู่การทำลายขวัญและกำลังใจของพนักงานในบริษัทได้คนกลุ่มนี้ต้องได้รับการสื่อสารข้อมูลที่ชัดเจน และเที่ยงตรง เพื่อป้องกันการเกิดข่าวลือในองค์กรที่จะนำไปสู่การทำลายขวัญและกำลังใจของพนักงานในบริษัทได้ 1. 4 กลุ่มไม่ได้รับผลกระทบต่องานมาก และไม่ได้มีความใกล้ชิดกับผู้ที่จะปลดออก ยกตัวอย่างเช่น พนักงานร่วมบริษัท คนกลุ่มนี้ควรได้รับการสื่อสารในภาพใหญ่ทั้งในแง่ของธุรกิจ ทั้งมุมมองของ สาเหตุ ผลกระทบ หรือข้อมูลทางการเงิน และความจำเป็นของบริษัท อย่างตรงไปตรงมา เพื่อไม่ให้เกิดข่าวลือ และให้พนักงานสามารถเตรียมตัวที่จะสู้ไปด้วยกันกับบริษัทได้อย่างถูกทิศทาง การทำ Stakeholder Analysis นี้นอกจากจะทำให้พนักงานและผู้เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบน้อยลงแล้ว ยังเป็นการช่วยองค์กรให้สามารถการดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องและไม่สะดุด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะใช้ผ่านวิกฤตขององค์กรไปได้ 2.
รูปบน ของ desktop รูปล่าง ของ mobile